การบริหารความเสี่ยงภัยสำหรับธุรกิจ
เรียบเรียงโดย ผศ.กิตติภูมิ มีประดิษฐ์
การบริหารความเสี่ยงภัยสำหรับธุรกิจ ในการทำธุรกิจใด ๆก็ตาม ย่อมมีความเสี่ยงภัยเกิดขึ้นเสมอ ดังนั้นธุรกิจขนาดย่อมจึงจำเป็นต้องต้องหาวิธีการต่างๆ ที่จะหลีกเลี่ยงความเสี่ยงภัยและจะต้องพิจารณาถึงลักษณะของความเสี่ยงภัย ตลอดจนหาทางเลือกในการลดความเสี่ยงภัย ความเสี่ยงภัย (Risk) คือโอกาสที่จะเกิดความสูญเสียแก่ร่างกาย ชีวิต และทรัพย์สินอันเนื่องมากจากภัยต่าง ๆ เช่น ไฟไหม้ น้ำท่วม พายุ รถชน และการขาดทุนเนื่องจากการตัดสินใจลงทุนที่ผิดพลาด หรือเป็นการเบี่ยงเบนไปจากผลที่ต้องการ หรือที่คาดหวัง ความเสี่ยงภัยจึงเป็นโอกาสซึ่งเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ที่เกิดการสูญเสียหรือโชคร้าย ความเสี่ยงภัยของธุรกิจขนาดย่อมจึงอาจหมายถึงการสูญเสียสินทรัพย์และรายได้ของบริษัท ในที่นี่คำว่าสินทรัพย์ (Assets) หมายถึง สินค้าคงเหลือ (Inventory) อุปกรณ์ (Equipment) และปัจจัยอื่น ๆ เช่น พนักงานของบริษัทและชื่อเสียง (Reputation) ของบริษัท ี |
(1) การจำแนกความเสี่ยงภัยจากการสูญเสีย (Loss) ซึ่งเกิดจากสาเหตุต่าง ๆ เช่นไฟไหม้ การเกิดอุบัติเหตุ การลักขโมย และการฉ้อโกง ซึ่งเป็นการสูญเสียในเรื่องที่สำคัญ
(2) การจำแนกความเสี่ยงภัยลักษณะที่ไม่สามารถรับประกันได้ เช่น ความล้าสมัยของผลิตภัณฑ์
(3) การจำแนกโดยมุ่งที่ทรัพย์สินของธุรกิจ ประกอบด้วย ความเสี่ยงภัยด้านการตลาด (Market-oriented risk) ความเสี่ยงภัยด้านทรัพย์สิน (Property-oriented risk)
ความเสี่ยงภัยด้านบุคลากร (Personnel-oriented risks) และความเสี่ยงภัยด้านลูกค้า (Customer- oriented risks) ความเสี่ยงภัยใน 3 ประเด็นสุดท้าย โดยมีรายละเอียดดังนี้
1. ความเสี่ยงภัยที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สิน (Risks associated with property) จะหมายถึงสินทรัพย์ที่มองเห็นได้ เมื่อสินทรัพย์ที่มองเห็นได้เหล่านี้สูญหาย (Lost) หรือถูกทำลาย (Destroyed) ก็จะทำให้เกิดการสูญเสีย ซึ่งทรัพย์สินจำนวนมากเหล่านี้สามารถทำประกันได้ เช่น อัคคีภัย ภัยธรรมชาติ การลักขโมย การฉ้อโกง
1.1 อัคคีภัย (Fire) สิ่งก่อสร้าง เครื่องมือ และสินค้าคงเหลือ อาจถูกไฟไหม้ทั้งหมดหรือบางส่วนซึ่งระดับความเสี่ยงภัยและความสูญเสียอาจแตกต่างกันสำหรับธุรกิจแต่ละชนิด โดยเฉพาะการเกิดไฟไหม้ไม่เพียงแต่เป็นสาเหตุโดยตรงต่อการสูญเสียทรัพย์สินเท่านั้น แต่ยังเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินธุรกิจ เพราะถึงแม้จะหยุดดำเนินงาน แต่ก็ยังคงมีค่าใช้จ่ายคงที่ เช่น ค่าเช่า เงินเดือน ค่าควบคุมดูแล และค่าเบี้ยประกันภัยต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดการสูญเสียที่น้อยที่สุดจากการที่ธุรกิจต้องหยุดชะงัก บริษัทอาจมีทางเลือก เช่น การระมัดระวังอย่างรอบคอบในการใช้ไฟ การหาอุปกรณ์ดับเพลิง การสร้างทางหนีไฟ การประกันอัคคีภัย การเข้มงวดด้านระเบียบวินัยในการทำงาน การซ้อมดับเพลิง
1.2 ภัยธรรมชาติ (Natural disasters) เช่นน้ำท่วม พายุ ลูกเห็บ เป็นสิ่งที่มนุษย์ไม่สามารถควบคุมได้สิ่งเหล่านี้สามารถทำให้ธุรกิจต้องหยุดดำเนินงาน ถึงแม้บริษัทจะหาวิธีป้องกัน เช่น การตั้งบริษัทอยู่บนพื้นที่ที่นำท่วมไม่ถึง
ธุรกิจขนาดย่อมจำเป็นต้องมีการประกันภัยเพื่อหลีกเลี่ยงความเสียหายจากภัยธรรมชาติ การประกันภัยความเสียหายของทรัพย์สินที่เคลื่อนที่ได้จากน้ำท่วมก็สามารถประกันได้ เช่น กรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์มักมีความเสียหายจากน้ำท่วมด้วย นอกจากนี้ภัยที่เกิดจากลมก็สามารถประกันได้ เช่น จากพายุเฮอริเคน หรือ การประกันภัยที่เกิดจากแผ่นดินไหว เป็นต้น
1.3 การลักขโมยและการฉ้อโกงทางธุรกิจ (Burglary and business swindles) ได้แก่ บุคคลที่บุกรุกเข้ามาเพื่อก่ออาชญากรรม เช่น ขโมยเงินหรือสินค้า โดยการประกันภัยจะคุ้มครองเกี่ยวกับการลักขโมยซึ่งธุรกิจขนาดย่อมอาจสามารถทำการป้องกันได้ด้วยการติดสัญญาณกันขโมย กล้องวิดีโอวงจรปิด หรือจัดหาเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยจากบริษัทเอกชน
การฉ้อโกงทางธุรกิจทำให้บริษัทเกิดการสูญเสียเป็นจำนวนมากในแต่ละปี บริษัทขนาดเล็กมักจะเกิดการฉ้อโกงมาก เช่น การปลอมเครื่องจักรที่ส่งซ่อม การส่งใบเก็บเงินในสินค้าที่ไม่มีในรายการซื้อขาย การขายพื้นที่การโฆษณาในสิ่งพิมพ์ไม่ตรงตามความต้อง การเก็บค่าธรรมเนียมล่วงหน้า ซึ่งความเสี่ยงภัยชนิดนี้สามารถหลีกเลี่ยงโดยที่ผ็จัดการธุรกอจจะต้อฝมีความรอบคอบและมีความระมัดระวัง
1.4 การขโมยสินค้า (Shoplifting) ประมาณได้ว่ามีผู้บริโภคจำนวนมากถึง 60 เปอร์เซ็นต์ ที่อาจหยิบสินค้าออกจากร้านโดยไม่จ่ายเงินค่าส่งสินค้า ถึงแม้ว่าจะเป็นจำนวนไม่มากนักร้านค้าย่อยก็มีการสูญเสียมากมาย ซึ่งไม่ใช่เฉพาะการสูญเสียจากสินค้าเท่านั้น แต่ยังสูญเสียค่าใช้จ่ายในด้านการรักษาความปอดภัยอีกด้วย
การหยิบของออกจากร้านโดยไม่จ่ายเงินมักปรากฎเสมอในการขายแบบวางกับพื้น (Sales floors) หรือจุดขายที่เคาน์เตอร์ก่อนออกจากร้าน (Checkout counter) ของร้านขายปลีก การขายแบบวางกับพื้นนั้นผู้ที่หยิบของไปโดยไม่จ่ายเงินมักเป็นผู้ขโมยสินค้าแบบไม่ใช่มืออาชีพ โดยการหยิบไปอย่างง่าย ๆ และรวดเร็ว โดยซ่อนไว้ในเสื้อผ้า กระเป๋าสะพาย หรือกระเป๋าถือ ผู้ขโมยของที่เป็นมืออาชีพจะมีความชำนาญมากกว่า ซึ่งจะมีการออกแบบเครื่องมือเพื่อป้องกันการถูกจับได้ เช่น เสื้อผ้าแบบมีกระเป๋ากว้างและมีที่ซ่อน และกระเป๋าถือที่มีเครื่องกำบังสัญญาณสำหรับสินค้าซึ่งมีการติดป้ายกันขโมยเวลาผ่านประตูสำหรับตรวจ ซึ่งจะช่วยให้สามารถผ่านไปได้ทั้งสินค้าขนาดเล็กและขนาดใหญ่
ธุรกิจจึงต้องหาวิธีการป้องกันการขโมยสินค้า ซึ่งมี 10 วิธีดังนี้ (1) ฝึกอบรมพนักงานให้ตระหนักว่าภัยเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญ (2) ติดประกาศให้ทั่วร้านเป็นการเตือนผู้ที่จะขโมยของในร้านว่า เขาจะถูกฟ้องร้องและดำเนินคดีจนถึงที่สุด แล้วติดตามผลจากการติดประกาศขู่นั้น (3) แขวนกระจกนูนเพื่อทำให้มองเห็นในจุดที่ลับตาและติดสัญญาณเตือนในทางออกฉุกเฉิน (4) วางสินค้าที่มีราคาแพงไว้ในที่ ๆ ปลอดภัย โดยวางสินค้าเป้าหมายซึ่งเป็นรายการที่มีความเสี่ยงภัยมากที่สุดไว้ในที่เสี่ยงน้อยที่สุด เช่น เอาไว้ใกล้จุดตรวจสินค้าตรงทางออก (5) จัดวางสินค้าให้ง่ายต่อการตรวจตรา (6) จัดช่องทางการไหลของลูกค้าที่จะผ่านจุดพนักงานเก็บเงินและกั้นจุดที่ไม่ได้ใช้สำหรับเป็นทางออก (7) ดูแลลูกค้าให้อยู่ในสายตา (8) ตรวจตราห้องลองเสื้ออย่างถี่ถ้วน และเขตที่เป็นพนักงานโดยเฉพาะ (9) เข้มงวดแบบฟอร์มเครื่อวแต่งกายสำหรับพนักงานควรเป้นเสื้อผ้าสีเรียบโดยเฉพาะสำหรับผู้ดูแลร้าน ใช้กระจก 2 หน้า เพื่อให้เกิดความระแวงว่ามีคนจับตาดูอยู่ ใช้การขายด้วยเครื่องอิเล็กทรอนิกส์ ใช้กล้องโทรทัศน์ และใช้เครื่องส่งสัญญาณเวลามีผู้หยิบสินค้าออกไปร้านโดยไม่ได้จ่ายเงิน (10) ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเดินเข้ามาตรวจในร้านเป็นบางครั้ง โดยเฉพาะในจุดที่เสี่ยงอันตราย
การเข้าใจในพฤติกรรมของบุคคลที่หยิบเอาของออกจากร้านโดยไม่จ่ายเงินจะสามารถช่วยให้ผู้จัดการเข้าใจปัญหาซึ่งบุคคลเหล่านี้จะมีลักษณะแตกต่างจากคนทั่ว ๆ ไป ปัญหาการขโมยสินค้านี้สามารถทำให้ลดลงด้วยการเรียนรู้วิธีป้องกันการขโมย
2. ความเสี่ยงภัยที่เกี่ยวข้องกับบุคลากร (Risks associated with personnel) การสูญเสียที่เกิดจากบุคคลจะเกิดจากการกระทำของพนักงาน การขโมยของพนักงานเป็นสิ่งผิดกฎหมาย เป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องที่สำคัญต่อธุรกิจขนาดย่อมจำนวนมาก การเจ็บป่วยทางกาย หรือการได้รับบาดเจ็บของพนักงานสามารถทำให้ธุรกิจได้รับความสูญเสียได้เช่นเดียวกัน ซึ่งความเสี่ยงที่เกิดจากบุคลากร มี 3 ชนิด คือ (1) ความไม่ซื่อสัตย์ของพนักงาน (2) การแข่งขันกับพนักงานที่เคยทำงานมาก่อน และไปทำงานให้คู่แข่งขัน (3) การสูญเสียผู้บริหารคนสำคัญ การจัดการความเสี่ยงภัย
การจัดการความเสียงภัย (Risk management) เป็นวิธีการที่จะต่อสู้กับความเสี่ยงภัยซึ่งได้รับการออกแบบไว้เพื่อรักษาสินทรัพย์และศักยภาพในการหารายได้ของบริษัท
โดยปกติการจัดการความเสี่ยงภัยจะมีความหมายที่กว้าง คือครอบคลุมทั้งความเสี่ยงที่สามารถประกันภัยได้ และความเสี่ยงที่ไม่สามารถรับประกันภัยได้รวมถึงสิ่งที่ไม่มีการประกันภัยเพ่อลดความเสี่ยงภัยทุกชนิดด้วย การจัดการความเสี่ยงภัยในธุรกิจขนาดย่อมจะแตกต่างจากการจัดการความเสี่ยงภัยในธุรกิจขนาดใหญ่ บริษัทประกันภัยมักไม่ต้องการประกันภัยกับบริษัทขนาดย่อม ในบริษัทขนาดใหญ่ความรับผิดชอบด้านการจัดการความเสี่ยงภัยมักมอบหมายให้ผู้จัดการที่ทำหน้าที่เฉพาะเป็นผู้รับผิดชอบ
ในทางตรงข้ามผู้จัดธุรกิจขนาดย่อมมักเป็นผู้จัดการเสี่ยงภัยเองโดยทั่วไปธุรกิจขนาดย่อมมักจะไม่คล่องตัวและมีความล่าช้าในการจัดการความเสี่ยงภัย ในทางปฏิบัติการจัดการความเสี่ยงภัย ผู้จัดการธุรกิจขนาดย่อมต้องรวบรวมลักษณะต่าง ๆ ของความเสี่ยงภัยที่กำลังเผชิญในธุรกิจของเขา และหาวิธีต่อสู้กับวามเสี่ยงภัยเหล่านั้น ...อ่านภายในเอกสารต่อคะ
ดาวน์โหลด : การบริหารความเสี่ยงภัยสำหรับธุรกิจ