เทคโนโลยีการผลิตที่ผู้ประกอบการควรรู้
เรียบเรียงโดย ผศ.ดร.จิรรัตน์ ธีระวราพฤกษ์
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ยังมีเจ้าชายองค์หนึ่ง อา ลืมไปว่ากำลังเขียนเรื่องเทคโนโลยีการผลิต ไม่ใช่เทพนิยาย แต่อันที่จริงแล้ว เรื่องของเทคโนโลยีการผลิตก็มีความเก่าแก่ไม่แพ้เทพนิยายเลยล่ะ ในสมัยโบราณกาล การผลิตนั้นเป็นการผลิตเพื่อยังชีพ ซึ่งก็คือ ผลิตเพื่อกิน เพื่อใช้ เพราะฉะนั้นในยุคสมัยโบราณนั้นไม่จำเป็นต้องมีความเร่งรีบในการผลิต ต่อมามนุษย์เริ่มเล็งเห็นว่า อาจจะสามารถกิน สามารถใช้ได้มากขึ้น ถ้าเขาผลิตอย่างเดียว และเอาสิ่งที่เขาผลิตไปแลกกับคนอื่นๆ (เอ เริ่มสับสนแล้ว มนุษย์กับคน เหมือนกันหรือเปล่า ก็ในที่นี้เหมือนกันนะค่ะ) และระบบของการแลกเปลี่ยนนั้นเราเรียกกันว่า ระบบบาร์เตอร์ (Barter system) ซึ่งระบบนี้ก็ใช้มานานพอสมควร จนกระทั่งมนุษย์หรือคนนั่นแหละเริ่มรู้สึกถึงความอยุติธรรม และความไม่สะดวกในการแลกเปลี่ยน ความอ-ยุติธรรมก็คือสินค้าบางอย่างอาจจะไม่สามารถแลกในจำนวนที่ลงตัวกับสินค้าบางอย่างได้ แต่อันที่จริงแล้วความอยุติธรรมเป็นปัญหาที่น้อยกว่าความไม่สะดวกค่ะ แต่ผลที่ได้รับก็คือ ระบบเงินตรา |
ความต้องการดังกล่าวก็จะรวมถึง ความสุขสบาย การประดับประดา ทั้งในด้านของการแต่งตัว และที่อยู่อาศัย ก็ทำให้เกิดการผลิตในรูปแบบอื่นๆ ที่ไม่ใช่เพื่อการยังชีพเกิดขึ้น เพื่อที่จะตอบสนองกับความต้องการเหล่านั้น การผลิตในขั้นแรกก็จะเป็นการผลิตโดยใช้ช่างฝีมือ หรือที่เรียกว่า Craft Production ถ้าจะพูดถึงการผลิตประเภทนี้ก็จะนึกถึงช่างทอง ช่างตีดาบ เนื่องจากว่าช่างทองหนึ่งคน ก็จะทำงานหนึ่งชิ้นตั้งแต่เริ่มจนเสร็จ เช่นเดียวกันกับช่างตีดาบก็จะทำการตีดาบตั้งแต่ต้นจนเสร็จเป็นเล่มๆ ไป ซึ่งการทำงานในลักษณะดังกล่าวจะได้ปริมาณงานที่ไม่มากนัก เครื่องจักร เครื่องมือที่ใช้ก็จะเป็นเครื่องจักร เครื่องมือทั่ว ๆ ไป ซึ่งสามารถทำงานได้หลาย ๆ อย่าง
เมื่อเวลาผ่านไป ความต้องการของมนุษย์ในการใช้จ่ายเพื่อให้เกิดความสุขสบาย และการประดับประดามีมากขึ้นและทวีความรุนแรงมากกว่าเดิม ทำให้การผลิตด้วยระบบช่างฝีมือไม่สามารถผลิตได้ทันกับความต้องการ ทำให้ ในปี 1776 Adam Smith ได้ให้ความเห็นในเรื่องของการทำงานว่า ควรมีการแบ่งงานกันทำ ซึ่งการแบ่งงานกันทำจะทำให้ปริมาณงานที่ได้มีมากกว่าการทำงานโดยวิธีเดิม โดยเขาได้เขียนหนังสือชื่อว่า The Wealth of Nations ซึ่งเป็นหนังสือที่โด่งดังมากในเวลาต่อมา ซึ่งจากการใช้วิธีแบ่งงานกันทำส่งผลให้ การผลิตเข็ม (ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเข็มอะไร เขาใช้คำว่า pin นะค่ะ) ต่อคน เพิ่มจาก 20 เล่มต่อวัน เป็น 48,000 เล่มต่อวัน ต่อมาก็มีหลาย ๆ ผู้คนที่ออกมาสนับสนุนในระบบการแบ่งงานกันทำ
ในระบบการแบ่งงานกันทำ การทำการผลิตผลิตภัณฑ์หนึ่งชิ้นนั้น ก็จะแบ่งเป็นหลาย ๆ กระบวนการ ซึ่งทำให้เกิดการพัฒนาในเรื่องของเทคโนโลยีการผลิต เครื่องจักร เครื่องมือ ซึ่งแต่เดิมเป็นเครื่องมือทั่วไป สามารถทำงานได้หลายอย่าง ก็เปลี่ยนเป็นการปรับเปลี่ยน เครื่องจักร เครื่องมือให้มีความเหมาะสมเฉพาะกับงานใด งานหนึ่ง เท่านั้น ซึ่งสิ่งที่ตามมาก็คือ ความสามารถในการผลิตเพิ่มขึ้น ทำให้การผลิตซึ่งแต่เดิมเป็นการผลิตโดยใช้ช่างฝีมือ กลายเป็นการผลิตจำนวนมาก (Mass Production) ซึ่งจากการผลิตจำนวนมากนี้เอง ทำให้ต้นทุนในการผลิตต่อหน่วยต่ำกว่าการผลิตจำนวนน้อย เมื่อการผลิตจำนวนมากทำให้เกิดการประหยัดแล้ว ทำให้ Eli Whitney คิดว่าการใช้ชิ้นส่วนร่วมกันน่าจะทำให้เกิดการประหยัดในด้านการผลิต หลังจากนั้นก็มีการนำเอาความคิดนี้มาใช้ ซึ่งส่งผลให้เกิดการประหยัดต้นทุน ทำให้ความคิดของการใช้ชิ้นส่วนร่วมกันมีอย่างแพร่หลาย ในปัจจุบันเนื่องจากมีการแข่งขันที่รุนแรง การตอบสนองกับความต้องการของลูกค้าเป็นสิ่งที่ผู้ผลิตทุกคนให้ความสนใจ และเนื่องจากความต้องการของลูกค้าแต่ละคนก็แตกต่างกันไป ทำให้เกิดปัญหากับการผลิตจำนวนมาก และการที่จะผลิตครั้งละหนึ่งชิ้นเพื่อตอบสนองกับความต้องการของลูกค้าแต่ละคนก็ทำได้ยากและเสียต้นทุนสูง ผู้ผลิตจึงต้องทำการจับกลุ่มความต้องการของลูกค้าที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันเข้าไว้ด้วยกัน เพื่อให้จำนวนในการผลิตมากขึ้น เป็นเหตุให้การผลิตในปัจจุบันเปลี่ยนจากการผลิตจำนวนมาก เป็นการผลิตตามความต้องการของกลุ่มลูกค้า (Mass Customization) ซึ่งทำให้การออกแบบให้มีการใช้ชิ้นส่วนร่วมกันมีความสำคัญมากยิ่งขึ้น
ในขณะเดียวกันก็มีผู้ที่ให้ความสนใจในด้านการผลิต กระบวนการผลิต โดยสังเกตว่าระบบการผลิตที่ใช้อยู่นั้น ก่อให้เกิดปัญหาในหลาย ๆ ด้าน ถึงแม้ว่าความสามารถในการผลิตจะเพิ่มจากแต่ก่อนก็ตาม ปัญหาที่พบคือ เวลาที่ใช้ในการผลิตมากเกินความจำเป็น ในกระบวนการผลิตหนึ่ง สมมติให้มี 5 ขั้นตอนการผลิต โดยที่ขั้นตอนที่หนึ่งจะต้องทำเสร็จก่อนที่จะเริ่มทำขั้นตอนที่สอง ขั้นตอนที่สองจะต้องทำเสร็จก่อนที่จะเริ่มทำขั้นตอนที่สาม และเป็นเช่นเดียวกันสำหรับขั้นตอนอื่น ๆ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ถ้าเวลาในการทำงานที่มากที่สุดที่พบในแต่ละขั้นตอนคือ 5 นาที ก็ควรจะมีสินค้าออกจากกระบวนการผลิตทุกๆ 5 นาทีด้วย แต่ในความเป็นจริงแล้ว สินค้าไม่ได้ออกทุก 5 นาที แต่เวลาที่น้อยที่สุดที่สินค้าใด ๆ สองชิ้นออกห่างกันคือ 5 นาที คำถามก็คือ ทำไมสินค้าไม่ได้ออกจากกระบวนการผลิตทุก 5 นาทีเหมือนที่ควรเป็น ดังนั้นก็เลยมีผู้พยายามหาคำตอบ โดยในขั้นแรก ก็ต้องพยายามทำความเข้าใจระบบการผลิตที่เป็นอยู่เสียก่อน และพบว่าระบบการผลิตที่ใช้กันอยู่ในขณะนั้น เป็นระบบผลัก (Push System) ระบบการผลิตแบบนี้มีความซับซ้อนน้อยกว่าระบบการผลิตชนิดอื่น ๆ ซึ่งเริ่มจากมีความต้องการของลูกค้าเข้ามาเป็นอันดับแรก (Customer Demand) หลังจากนั้นความต้องการของลูกค้าจะเป็นตัวกำหนดช่วงเวลาและปริมาณการป้อนวัตถุดิบเข้าสู่ระบบการผลิต จากภาพที่ 1 แสดงให้เห็นว่าเมื่อใดก็ตามที่มีความต้องการของลูกค้าเข้ามาก็จะมีการป้อน วัตถุดิบเข้าสู่ระบบการผลิตตามปริมาณที่ลูกค้าต้องการ หลังจากที่วัตถุดิบได้ถูกป้อนเข้าสู่ระบบการผลิตแล้ว วัตถุดิบก็จะถูกทำการผลิตที่กระบวนการแรกจนกระทั่งเสร็จสิ้นและจะถูกส่งไปยังกระบวนการที่สองต่อไปโดยทันที ลักษณะการส่งผ่านชิ้นงานเช่นนี้จะเห็นได้ว่ามีลักษณะคล้ายคลึงกับการผลัก การทำงานในลักษณะนี้จะถูกทำในลักษณะต่อเนื่องกันไปเป็นทอดๆ จนกระทั่งเสร็จสิ้นกระบวนการ จะเห็นได้ว่าระบบการผลิตแบบผลักมีความซับซ้อนน้อยและในแต่ละขั้นตอนของกระบวนการผลิตจะมีความเป็นอิสระจากกัน ดังนั้นเมื่อใดก็ตามที่กระบวนการใดกระบวนการหนึ่งมีปัญหาเกิดขึ้นทำให้ต้องหยุดการผลิต กระบวนการอื่นๆ
ก็จะยังคงทำการผลิตต่อเนื่องไปเรื่อยๆและส่งต่อชิ้นงานระหว่างทำในกระบวนการผลิตต่อเนื่องกันไป จากจุดนี้ได้แสดงให้เห็นว่าอาจก่อให้เกิดการเพิ่มสูงขึ้นของปริมาณของงานระหว่างทำ (Work In Process, WIP) ในกระบวนการผลิต ซึ่งมีผลกระทบต่อระยะเวลาในการผลิตของชิ้นงานด้วย ตัวอย่างเช่น ถ้ากระบวนการผลิตมี 5 ขั้นตอนการผลิต โดยที่ขั้นตอนที่หนึ่งถึงห้าใช้เวลาในการผลิตดังต่อไปนี้คือ 2, 1, 3, 2, และ 2 นาทีตามลำดับ เมื่อวัตถุดิบเข้าสู่กระบวนการผลิตก็จะผ่านขั้นตอนที่หนึ่ง ซึ่งใช้เวลาในการทำงาน 2 นาทีและผ่านไปยังขั้นตอนที่สอง เมื่อผ่านงานไปยังขั้นตอนที่สอง ขั้นตอนที่หนึ่งก็จะรับวัตถุดิบใหม่เข้ามาทำงานต่อ ในขั้นตอนที่สองเมื่อได้รับงานจากขั้นตอนที่หนึ่งก็จะทำงาน ซึ่งจะใช้เวลาเพียง 1 นาทีเท่านั้น และส่งต่อไปยังขั้นตอนถัดไปทันทีซึ่งคือขั้นตอนที่สาม เมื่อส่งงานออกไปแล้ว ขั้นตอนที่สองก็นั่งรอขั้นตอนที่หนึ่งส่งงานชิ้นใหม่ให้ แต่เนื่องจากเวลาในการทำงานของขั้นตอนที่หนึ่งมีค่ามากกว่าเวลาในการทำงานของขั้นตอนที่สอง ทำให้ขั้นตอนที่สองจะต้องรอเป็นเวลา 1 นาที (เวลาในการทำงานของขั้นตอนที่สองลบกับเวลาในการทำงานของขั้นตอนที่หนึ่ง) จึงจะเริ่มทำงานชิ้นที่สองได้ เมื่อทำงานชิ้นที่สองเสร็จก็ส่งต่อไปยังขั้นตอนที่สาม แต่เมื่อส่งไปแล้วพบว่าขั้นตอนที่สามยังทำงานของชิ้นงานที่หนึ่งไม่เสร็จ เนื่องจากเวลาในการทำงานของขั้นตอนที่สามใช้เวลาถึง 3 นาที ดังนั้นงานชิ้นที่สองจึงต้องรอการผลิตในขั้นตอนที่สามเป็นเวลา 1 นาทีก่อนจึงเริ่มทำการผลิตได้ และเมื่อเวลาผ่านไป ขั้นตอนที่สามก็จะมีชิ้นงานรอการผลิตมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งเสียเวลาในการผลิตนาน โดยที่จริง ๆ แล้ว เวลาทั้งหมดในการผลิตชิ้นงาน 1 ชิ้น คือ 10 (2+1+3+2+2) นาที และมีคนทำงาน 5 คน ฉะนั้นเวลาที่ใช้ในการผลิตควรจะเป็น 2 (10/5) นาทีต่อชิ้น ซึ่งในกระบวนการผลิตจริงใช้เวลา 3 นาที สำหรับขั้นตอนแรก โดยสาเหตุของการล่าช้าที่เกิดขึ้นคือ ความไม่สมดุลของสายการผลิต ซึ่งเกิดจากการที่ขั้นตอนการผลิตแต่ละขั้นตอนมีเวลาในการทำงานไม่เท่ากัน ทำให้เกิดการรอคอยชิ้นงานในขั้นตอนที่มีเวลาการทำงานน้อย
และเกิดงานระหว่างผลิตมากในขั้นตอนที่มีเวลาการทำงานมาก โดยขั้นตอนที่มีเวลาในการทำงานมากที่สุด ที่เรียกว่า คอขวด (Bottleneck) จากตัวอย่างชิ้นงานแรกจะใช้เวลาในการผลิตทั้งสิ้น 10 นาที ชิ้นงานที่สองจะใช้เวลาในการผลิตทั้งสิ้น 11 นาที ชิ้นงานที่สามจะใช้เวลาในการผลิตทั้งสิ้น 12 นาที และชิ้นงานที่ยี่สิบจะใช้เวลาในการผลิตทั้งสิ้น 29 นาที และมีงานระหว่างผลิต 10 ชิ้นงาน และจากข้อมูลข้างต้น จะเห็นได้ว่าเวลาที่ใช้ในการผลิตและงานระหว่างผลิตมีค่ามากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเวลาผ่านไป จากข้อเสียในเรื่องเวลาในการทำงานและงานระหว่างผลิตที่มาก
ทำให้ได้มีความพยายามในการลดเวลาในการทำงานและงานระหว่างผลิตลง ซึ่งเป็นผลให้เกิดระบบการผลิตแบบใหม่ ซึ่งเรียกว่า ระบบดึง (Pull System) ระบบดึงเป็นระบบที่ชิ้นงานจะถูกส่งต่อไปยังกระบวนการถัดไปก็ต่อเมื่อกระบวนการนั้น ๆ มีความต้องการเกิดขึ้น ดังแสดงในภาพที่ 2 ระบบนี้เป็นระบบที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในปัจจุบัน ...อ่านภายในเอกสารต่อคะ
ดาวน์โหลด : เทคโนโลยีการผลิตที่ผู้ประกอบการควรรู้