วันเสาร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2556

การคัดเลือกวัตถุดิบ

การคัดเลือกวัตถุดิบ


เรียบเรียงโดย อาจารย์สุวัจน์ ด่านสมบูรณ์



การคัดเลือกวัตถุดิบ
องค์กรทุกองค์กรจะมีจุดมุ่งหมายขององค์กร ไม่ว่าจุดมุ่งหมายจะเขียนออกมาเป็นลายลักษณ์อักษรหรือไม่ก็ตาม และโดยปกติแล้ว จุดมุ่งหมายหลักขององค์กรก็คือการได้ผลตอบแทนที่ดี และการความสามารถดำรงอยู่ได้ในตลาด และอาจรวมไปถึงความต้องการการเป็นผู้นำทางการตลาด ซึ่งเป้าหมายเหล่านี้จะบรรลุได้นั้น องค์กรจะต้องสามารถตอบสนองกับความต้องการของลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งความต้องการของลูกค้าคงจะหนีไม่พ้นการได้รับสินค้า หรือบริการที่มีคุณภาพ ในเรื่องของคุณภาพสินค้านั้น จุดเริ่มต้นของคุณภาพสินค้าคงจะปฏิเสธไม่ได้ว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือการใช้วัตถุดิบที่มีคุณภาพ ซึ่งกระบวนการคัดเลือกวัตถุดิบจะเข้ามามีบทบาทที่สำคัญ

1. การคัดเลือกวัตถุดิบหรือชิ้นส่วน

การคัดเลือกวัตถุดิบหรือชิ้นส่วน มีหลายๆ ปัจจัยเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งโดยปกติแล้วจะขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์การใช้งาน เช่น คุณภาพหรือลักษณะที่ต้องการของกระจกหน้ารถยนต์
จะมีความแตกต่างจากคุณภาพหรือลักษณะที่ต้องการของกระจกสำหรับใช้งานอื่นๆ อย่างไรก็ตามปัจจัยที่เกี่ยวข้องและมักจะถูกนำมาใช้เป็นเกณฑ์สำหรับการคัดเลือกวัตถุดิบหรือชิ้นส่วน ได้แก่ คุณภาพของวัตถุดิบหรือชิ้นส่วนนั้น ระบบบริหารคุณภาพของผู้ผลิตวัตถุดิบ ความใกล้ไกลและความรวดเร็วในการจัดส่งวัตถุดิบ และ ฯลฯ ซึ่งรายละเอียดแต่ละหัวข้อมีดังนี้คือ

1. ถ้าวัตถุดิบ หรือชิ้นส่วน ที่จะจัดซื้อ เป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้กำหนดไว้ในพระราชกฤษฎีกากำหนดให้ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน เช่น มันสำปะหลังอัดเม็ดแข็ง หลอดไฟฟ้า ท่อไอเสียรถจักรยานยนต์ เป็นต้น ควรเลือกวัตถุดิบ หรือชิ้นส่วนที่ได้รับการรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) เพราะเป็นหลักประกันเบื้องต้นว่า วัตถุดิบ หรือชิ้นส่วน ที่รับเข้ามามีมาตรฐานในระดับหนึ่งแล้ว เนื่องจากวัตถุดิบหรือชิ้นส่วนที่ได้รับการรับรอง มอก. เหล่านี้ จะถูกตรวจสอบ/ทดสอบ จากสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมแล้วว่าเป็นไปตามข้อกำหนดของผลิตภัณฑ์ และหลังจากได้รับการรับรอง มอก. แล้ว ก็จะยังถูกสุ่มตรวจสอบคุณภาพของผลิตภัณฑ์อีกเป็นระยะๆ

2. ในกรณีที่วัตถุดิบ เป็นสิ่งที่สามารถเน่าเสีย ได้เช่น วัตถุดิบประเภท เนื้อสัตว์ ปลา ไข่ ผัก ผลไม้ ฯลฯ การคัดเลือกจะต้องพิจารณาจากความสดใหม่ และคุณลักษณะเฉพาะเช่น ลำไย นอกจากจะสดใหม่แล้ว ขนาด และรสชาติความหวาน ควรจะได้ตามเกณฑ์

3. ราคา ปัจจัยนี้มักจะถูกนำมาใช้เป็นปัจจัยหลักในการตัดสินใจ ซึ่งบางครั้งอาจทำให้ได้วัตถุดิบที่คุณภาพไม่ถึงเกณฑ์ และส่งผลต่อคุณภาพของสินค้าที่เราผลิตทั้งในระยะสั้น และระยะยาวได้ ดังนั้นจึงควรระลึกอยู่เสมอว่า ของดีราคาถูก ไม่มี (หรือมีน้อยมาก) มีแต่ของดีราคาเหมาะสม (บางครั้งของที่มีราคาแพง ก็ใช่ว่าจะมีคุณภาพดีเสมอไป)

4. ผู้จัดส่ง/ผู้ส่งมอบ (supplier) มีระบบการบริหารงานคุณภาพที่ได้มาตรฐาน เช่น ระบบบริหารงานคุณภาพมาตรฐาน ISO9000 ระบบบริหารงานคุณภาพมาตรฐาน QS9000 หรือ ระบบบริหารงานคุณภาพมาตรฐาน QSME เป็นต้น เพราะถ้าผู้ขายวัตถุดิบหรือชิ้นส่วนให้เราได้รับการรับรองระบบบริหารคุณภาพ จะทำให้เรามั่นใจได้ในระดับหนึ่งว่า วัตถุดิบ หรือชิ้นส่วน ที่จัดส่งมาให้เราจะมีคุณภาพไม่เปลี่ยนแปลงจากรุ่นก่อนๆ มากนัก เพราะวัตถุดิบ หรือชิ้นส่วนเหล่านี้จะถูกผลิตภายใต้ระบบ และกระบวนการที่มีขั้นตอน และการควบคุมที่ชัดเจน อีกทั้งยังเป็นการแสดงให้เห็นถึงการตระหนัก และใส่ใจในเรื่องคุณภาพของผู้บริหารในองค์กรนั้นอีกด้วย

5. ความสามารถในการผลิตของผู้ส่งมอบ ในกรณีนี้ต้องวิเคราะห์ให้ชัดเจนว่า ผู้ส่งมอบมีกำลังการผลิตเท่าใด เพียงพอกับปริมาณความต้องการของเราหรือไม่ ระบบการจัดเก็บสินค้า (stock) เป็นอย่างไร และในกรณีเกิดเหตุสุดวิสัย เช่น ต้องหยุดการผลิตเนื่องจากเครื่องจักรขัดข้อง เราจะมีวิธีการแก้ไขปัญหาการขาดวัตถุดิบหรือชิ้นส่วนได้อย่างไร วิธีการแก้ปัญหานี้บริษัทส่วนใหญ่ จะใช้วิธีการคัดเลือกผู้ขายวัตถุดิบแต่ละอย่าง ซึ่งผลิตวัตถุดิบที่มีคุณภาพ อย่างน้อย 2-3 ราย

6. ความรวดเร็ว และการตรงต่อเวลาในการจัดส่ง การจัดส่งวัตถุดิบได้รวดเร็ว และตรงต่อเวลา ทั้งในด้านปริมาณ และคุณภาพของ วัตถุดิบ เป็นปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งของผู้ขายที่ดี เพราะการจัดส่งวัตถุดิบหากไม่ตรงต่อเวลา สามารถทำให้แผนการผลิตของเราไม่เป็นไปตามที่วางไว้ ส่งผลให้ไม่สามารถผลิตสินค้า และจัดส่งให้กับลูกค้าได้ทันตามกำหนด

7. ข้อเท็จจริงด้านคุณภาพ ปัจจัยนี้เป็นปัจจัยสำคัญที่สุดสำหรับองค์กรที่เน้นความสำคัญด้านคุณภาพ ข้อเท็จจริงด้านคุณภาพ ได้มาจาก การตรวจสอบ หรือทดสอบ ผลิตภัณฑ์ นั้น ว่าเป็นไปตามเกณฑ์ หรือข้อกำหนดมาตรฐานที่ต้องการ

นอกจากปัจจัยที่กล่าวมาข้างต้น ยังมีปัจจัยอื่นๆ อีก ที่ถูกนำมาพิจารณา เช่น ชื่อเสียงของผู้ผลิตหรือ ผู้ขาย ส่วนลด หรือ โปรโมชั่นพิเศษ ของผลิตภัณฑ์ ที่ผู้ขายเสนอ การรับประกันของผู้ขาย และ ข้อตกลงหรือสัญญาระหว่างผู้ขาย และผู้ผลิต เป็นต้น นอกจากนี้ในกรณีที่วัตถุดิบเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามฤดูกาลแล้ว การเลือกวัตถุดิบจะต้องมีการคำนึงถึงฤดูกาลด้วย เช่นองค์กรที่ทำสัปปะรดกระป๋องและน้ำสัปปะรด ก็ต้องมีการซื้อวัตถุดิบ ซึ่งก็คือสัปปะรดเก็บไว้ในฤดูที่มีสัปปะรดมาก เนื่องจากจะมีราคาต่ำและคุณภาพของสัปปะรดจะค่อนข้างดี การซื้อวัตถุดิบนอกฤดูกาลนั้น วัตถุดิบจะมีราคาสูงและคุณภาพไม่ดี ดังนั้น จึงต้องมีการประมาณการขายที่ดี เพื่อที่จะสามารถประมาณการใช้วัตถุดิบได้อย่างถูกต้อง

โดยปกติกระบวนการในการคัดเลือกผู้ขาย/ผู้จัดส่ง จะเริ่มจากการที่เราได้ ตรวจสอบ หรือทดสอบ วัตถุดิบหรือชิ้นส่วน ว่าเป็นไปตามข้อกำหนดหรือเกณฑ์มาตรฐานที่ตั้งไว้ จากนั้นพิจารณารายละเอียดอื่นๆ ดังที่กล่าวมาแล้ว และมีการจัดทำบัญชีรายชื่อผู้ขาย ซึ่งจะมีความสำคัญในเรื่องการควบคุมคุณภาพ คือเป็นการตกลงใจแล้วว่าเราจะซื้อวัตถุดิบหรือชิ้นส่วนจากผู้ขายที่มีรายชื่ออยู่ในบัญชีรายชื่อนี้เท่านั้น (บัญชีรายชื่อผู้ขาย สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ในกรณีที่เราพบว่าผู้ขายบางรายไม่สามารถรักษาคุณภาพของวัตถุดิบหรือชิ้นส่วน เราสามารถตัดออกจากบัญชีรายชื่อผู้ขายได้ ในทางกลับกัน หากมีผู้ขายรายอื่นที่ผ่านเกณฑ์ เราก็สามารถเพิ่มรายชื่อเข้าไปในบัญชีรายชื่อได้)

ในองค์กรใหญ่ ๆ นั้น จะมีการให้คะแนนผู้ขายวัตถุดิบ และถ้าพบว่าผู้ขายวัตถุดิบรายใดมีคะแนนต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนดก็จะไม่ซื้อวัตถุดิบกับผู้ขายรายนั้น ๆ อีก แต่ก่อนที่จะปฏิเสธการซื้อวัตถุดิบนั้นจะมีการตักเตือน เพื่อให้ผู้ขายรับทราบและทำการแก้ไขปรับปรุง ซึ่งจะส่งผลต่อคะแนนของผู้ขายเอง และในกรณีที่องค์กรมีขนาดใหญ่มาก ๆ นั้น องค์กรนั้นอาจทำการแทรกแซงการบริหาร หรือมีการจัดส่งผู้เชียวชาญเข้าไปให้คำแนะนำช่วยเหลือ เพื่อเข้าไปจัดการและปรับปรุงการผลิตของผู้ขายให้มีประสิทธิภาพ และผลิตวัตถุดิบที่มีคุณภาพตามที่องค์กรต้องการ โดยการแทรกแซงนี้จะทำให้ได้วัตถุดิบที่ต้องการและราคาประหยัด เนื่องจากประสิทธิภาพของผู้ขายดีขึ้น แสดงว่าต้นทุนการผลิตต่ำลง ดังนั้นผู้ขายก็น่าจะสามารถขายได้ในราคาที่ต่ำลงด้วย ...อ่านภายในเอกสารต่อคะ


  ดาวน์โหลด : การคัดเลือกวัตถุดิบ